เมนู

ท่านทั้งหลายจงพากันฝักใฝ่เถิด ซึ่งพระสมาธิอันประเสริฐ ภิกษุรูปใดได้จำเริญพระสมาธิอัน
เลิศนี้จะดีนักหนา ปชานาติ จะตรัสรู้มรรคและผลและไตรวิชชาสมาบัติ ยถาภูตํ เที่ยงแท้ดังนี้
นี่แหละพระพุทธฎีกาโปรดไว้ จงทราบในพระบวรราชสันดานด้วยประการดังนี้
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ก็มีพระราชโองการตรัสว่า กลฺโลสิ พระผู้เป็น
เจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว
สมาธิลักขณปัญหา คำรบ 13 จบเท่านี้

ปัญญาลักขณปัญหา ที่ 14


ราชา สมเด็จพระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์มีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระ
ผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ปัญญานี้เล่ามีลักษณะอย่างไร
พระนาคเสนจึงถวายพระพรตอบไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร ปัญญา
นี้มีลักษณะตัดรอน อาตมาได้ถวายพระพรแล้ว บัดนี้ทรงถามอีกก็จะต้องวิสัชนาอีก ปัญญา
นี้มีลักษณะโอภาส
พระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์มีพระราชโองการตรัสว่า ปัญญามีลักษณะโอภาสอย่างไร
พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร ปัญญาโอภาสนั้น
เมื่อจะบังเกิดย่อมกำจัดอนธการอันมืดมัวคือตัวอวิชชาชาติ จึงให้วิชชาโอภาสบังเกิดส่องสว่าง
ืคือรู้ไปในธรรมแล้วมีปัญญาเล่า ก็คือปัญญาผ่องแผ้วสว่างกระจ่างแจ้ง พิจารณาเห็นองค์แห่ง
พระอริยสัจสันทัดแน่นอน ลำดับนั้นพระโยคาวจรพิจารณาซึ่งสังขารก็เห็นเป็น ทุกฺขํ บ้างเห็นเป็น
อนิจฺจํ บ้าง เห็นเป็น อนตฺตา บ้าง ด้วยโอภาสลักขณะ ปัญญาเห็นสว่างกระจ่างมาแต่พระอริยสัจ
นั้นอย่างนี้ชื่อว่าโอภาสลักขณปัญญา ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากร มีสุนทรราชโองการตรัสว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้า
กระทำอุปมาไปก่อน
พระนาคเสนก็ถวายพระพรอุปมว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ
ยิ่งมิ่งมไหศวรรย์ เปรียบปานดุจบุรุาผู้หนึ่งนั้นจุดประทีปคันและเทียนส่องเข้าไปในห้องเรือน